เมนู

อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ 4



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการ
เสียสละชีพของพระอานนทเถระเพื่อพระองค์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า สิงฺคมิโค ดังนี้.
เรื่องแต่ต้นจนถึงการประกอบนายขมังธนู ตรัสแล้วในกัณ-
ฑหาลชาดก การปล่อยช้างธนบาล ตรัสไว้แล้วในจุลลหังสชาดก.
ความย่อว่า ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายตั้งเรื่องกันขึ้นในธรรมสภา
ว่า พระอานนทเถระผู้เป็นคลังพระธรรม เป็นผู้บรรลุเสขปฏิสัมภิทา
เมื่อช้างธนบาลกำลังวิ่งมา ก็ได้สละชีวิตถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวก
เธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ด้วยเรื่องชื่อนี้. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น
แม้ในชาติก่อนพระอานนท์ก็สละชีวิตเพื่อเราเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึง
ได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ด้านทิศอิสาณของกรุงราชคฤห์ ได้มีบ้านพราหมณ์
ชื่อว่า หลินทิยะ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลกาสิกพราหมณ์
ในหมู่บ้านนั้น เติบโตแล้วดำรงทรัพย์สมบัติไว้ให้คนทำกสิกรรม ประ-
มาณ 8 หมื่น ในนามคธแห่งหนึ่ง ด้านทิศอิสาณของหมู่บ้านนั้น.

วันหนึ่ง เขาไปนาพร้อมกับคนทั้งหลายผู้เป็นบริวาร สั่งบังคับกรรมกร
ทั้งหลายว่า สูเจ้าทั้งหลายจงพากันทำงานเถิด แล้วเข้าไปหนองน้ำใหญ่
ปลายนา เพื่อต้องการล้างหน้า. ก็แหละในหนองน้ำนั้น มีปูตัวหนึ่ง
มีสีเหมือนสีทอง มีรูปงามน่าเลื่อมใสอาศัยอยู่. พระโพธิสัตว์เคี้ยวไม้
ชำระฟันแล้ว จึงลงไปหนองน้ำนั้น ในเวลาพระโพธิสัตว์นั้นล้างหน้า
ปูได้มาใกล้พระโพธิสัตว์. ครั้งนั้น ท่านได้ยกมันขึ้นมาจับให้นอนอยู่
ในระหว่างผ้าห่มของตนแล้ว เมื่อไปทำกิจที่ตนจะต้องทำในนา จึงวาง
มันลงไปในหนองนั้นแล้วได้ไปบ้าน. ต่อแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ เมื่อ
มาถึงนาจะไปหนองน้ำนั้นก่อน ให้ปูนอนในระหว่างผ้าห่มแล้ว จึง
ตรวจดูการงานภายหลัง. ด้วยประการยังนี้ ความคุ้นเคยกันระหว่าง
พระโพธิสัตว์กับปูนั้นจึงได้มั่นคง. พระโพธิสัตว์ก็มานาเนืองนิตย์. ก็
แหละประสาทในนัยน์ตาของพระโพธิสัตว์นั้นปรากฏเป็นวงกลม 3 ชั้น
ใสแจ๋ว. ครั้งนั้น กาตัวเมียที่รังกาบนต้นตาลต้นหนึ่ง ที่ปลายนาของ
พระโพธิสัตว์นั้นเห็นนัยน์ตาของท่านแล้วอยากจะกิน จึงบอกกาตัวผู้ว่า
พี่ ฉันเกิดแพ้ท้องแล้ว.
กาตัวผู้ ธรรมดาการแพ้ท้องเป็นอย่างไร ?
กาตัวเมีย ฉันอยากกินนัยน์ตาของพราหมณ์คนนั้น.
กาตัวผู้ แกเกิดแพ้ท้องที่เลวร้าย ใครจักสามารถนำนัยน์ตา
เหล่านั้นมาได้.

กาตัวเมีย เจ้าไม่สามารถหรือ ?
กาตัวผู้ ข้าไม่สามารถ.
กาตัวเมีย ฉันรู้เรื่องนี้ ก็ที่จอมปลวกนั่นในที่ไม่ไกลต้นตาลมีงู
เห่าหม้ออาศัยอยู่ เจ้าจงปรนนิบัติงูเห่านั้น พราหมณ์นั้นถูกงูนั้นกัดแล้ว
จักตาย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จักจิกเอานัยน์ตาของเขามาได้. กาตัวผู้
รับคำว่าดีแล้ว จำเดิมแต่นั้นมาก็ปรนนิบัติ งูเห่าหม้อ. ในเวลาที่ข้าวกล้า
ที่พระโพธิสัตว์หว่านไว้ตั้งท้อง ปูก็ได้เติบโตขึ้น. อยู่มาวันหนึ่ง งูพูด
กะกาว่า สหายเอ๋ย ท่านปรนนิบัติเราเนืองนิตย์ เพราะเหตุอะไร. เรา
จะทำอะไรให้ท่านได้. กาบอกว่า นาย ทาสีของท่าน คือภรรยาของ
ฉันเกิดแพ้ท้องอยากกินนัยน์ตาของเจ้าของนานั่น เรานั้นจักได้นัยน์ตา
ของเจ้าของนานั้น ด้วยอานุภาพของท่าน เพราะฉะนั้น เราจึงปรน-
นิบัติท่าน. งูบอกให้กานั้นเบาใจว่า เรื่องนี้ยกไว้เถอะไม่ใช่เรื่องหนัก-
หนา ท่านจักได้แน่. ในวันรุ่งขึ้นจึงอาศัยคันนาเอาหญ้าปิดไว้ที่ทางมา
นอนดูการมาของเขา. พระโพธิสัตว์ เมื่อมาจะลงไปหนองน้ำล้างหน้า
ยังความเสน่หาให้เกิดขึ้น สวมกอดปูทอง ให้นอนอยู่ในระหว่างผ้าห่ม
ก่อนแล้วจึงเข้าไปนา. งูเห็นพระโพธิสัตว์นั้นกำลังมา ก็เลื้อยไปโดยเร็ว
กัดเนื้อปลีแข้ง คือน่องให้ล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง แล้วจึงหนีไปหมาย
จอมปลวกเป็นปลายทาง. การล้มของพระโพธิสัตว์ก็ดี การกระโดด
ออกไปจากระหว่างผ้าสาฎกของปูก็ดี การมาเกาะบนที่อกพระโพธิสัตว์

ก็ดี ได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน. กาเกาะแล้วจะใช้จะงอยปากจิกนัยน์ตา.
ปูคิดว่า ภัยเกิดขึ้นแก่สหายของเราแล้ว เพราะอาศัยกาตัวนี้ เมื่อเรา
จับกาตัวนี้ไว้ได้ งูก็จักกลับมา จึงอ้าก้ามหนีบคอกาไว้แน่นเหมือนเอา
คีมคีบไว้ให้มันล้าแล้วจึงได้ทำให้หย่อนไว้หน่อยหนึ่ง คือลาก้ามลง. กา
เมื่อจะเรียกงูว่า สหายเอ๋ย สหายจะทั้งเราไปเพื่อประโยชน์อะไร ? ปู
ตัวนี้หนีบฉัน ฉันจะยังไม่ตายจนกว่าเพื่อนจะมา จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า:-
มฤคสิงคี คือปูมีตาโปน มีกระดองแข็ง
อาศัยน้ำ ไม่มีขน ฉันถูกมันหนีบ จะร้องไห้
อย่างคนที่ควรกรุณา เฮ้ย เพื่อนแกจะหนีฉัน
ไปเพื่อประโยชน์อะไร ?

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้. ปูเขาเรียกว่า สิงคมิคะ
เพราะมีสีเหมือนสีทองสิงคี หรือเพราะมีเขากล่าว คือก้าม. บทว่า
อายตจฺขุเนตฺโต ได้แก่ ประกอบด้วยตากล่าวคือจักษุยาว. กระดอง
คือกระดูกของปูนั้นมีอยู่ เพราะเหตุนั้นปูนั้นจึงชื่อว่า มีกระดองแข็ง
อฏฺฐิตฺตโจ. คำว่า หเร สขา เป็นคือร้องเรียก ความหมายว่า
ดูก่อนสหายผู้เจริญ.
งูได้ฟังคำนั้นแล้ว ได้แผ่พังพานพ่นพิษร้ายมา.

พระศาสดาเมื่อทรงแสดงเนื้อความนั้น ได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถา
ที่ 2 ว่า :-
งูที่เป็นเพื่อนนั้น เมื่อจะทัดทานเพื่อน
ของตนไว้ จึงแผ่พังพานใหญ่ไปพลาง พ่นพิษ
ไปพลาง ได้มาถึงตัวปู ปูก็ได้หนีบงูไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กกฺกฏกชฺฌปตฺโต ความว่า ถึงที่
ใกล้ปู. บทว่า สขา สขารํ ความว่า ผู้เป็นเพื่อนจะป้องกันเพื่อนของ
ตน. ปาฐะว่า สกขารํ ดังนี้บ้าง. ความหมายก็ว่าสหายของตน. บทว่า
ปริตายมาโน ความว่า เมื่อจะรักษา. บทว่า อคฺคเหสิ ความว่า
ปูเอาก้ามที่ 2 หนีบคอไว้แน่น ภายหลังให้มันล้าแล้วจึงได้ทำให้หย่อน
ลงหน่อยหนึ่ง คือลาก้ามลง.
ลำดับนั้น งูคิดว่า ธรรมดาปูจะไม่กินเนื้อกาเลยและไม่กินเนื้องู
ด้วย เพราะเหตุอะไรหนอ ปูตัวนี้จึงหนีบพวกเราไว้ เมื่อจะถามปูนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ 3 ไว้ว่า :-
ปูไม่ต้องการกินกา ไม่ต้องการกินพระ-
ยางู แต่หนีบไว้ เจ้าปูตาโปนเอ๋ย ข้าขอถาม
เจ้า เหตุไร แกจึงหนีบข้าทั้ง 2 ไว้ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆาสตฺถิโก ความว่า เป็นผู้ต้อง
การอาหาร. บทว่า อาเทยฺย ความว่า หนีบไว้ อธิบายว่า หนีบไว้
ประกอบด้วยโภชนะก็หาไม่.
ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อจะบอกถึงเหตุที่หนีบไว้ จึงได้กล่าวคาถา
2 คาถาว่า :-
ชายคนนี้ที่จับข้านำไปที่น้ำ เป็นผู้หวัง
ความเจริญแก่ข้า. เมื่อเขาตาย ข้าจะมีความ
ทุกข์หาน้อยไม่ เราทั้ง 2 คือข้าแลคน ๆ นั้น
จะไม่มี. อนึ่ง คนทุกคนเห็นข้า ผู้มีร่างกาย
เติบโตแล้ว ต้องการเบียดเบียน คือกินเนื้อ
ที่ทั้งอร่อย ทั้งอวบ ทั้งนุ่ม ฝ่ายกาเห็นฉันแล้ว
คงจะเบียดเบียน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ บ่งถึงพระโพธิสัตว์. บทว่า
อตฺถกาโม หมายความว่า มุ่งประโยชน์เกื้อกูล. ด้วยบทว่า อุทกาย
เนติ
ปูแสดงว่า ผู้ใดรักฉัน เอาผ้าห่มห่อฉันไปที่น้ำ คือให้ฉันถึงที่
อยู่ของตน. บทว่า ตสฺมึ มเต ความว่า ถ้าหากเขาจะตายในที่นี้ไซร้
เมื่อคน ๆ นี้ตายแล้ว ฉันจักมีทุกข์กายแจะทุกข์ใจมากมาย. บทว่า อุโภ
น โหม
ความว่า เราทั้ง 2 คน ก็จักไม่มี. คาถาว่า มมญจ ทิสฺวาน

มีเนื้อความดังต่อไปนี้ว่า ข้อนี้ก็เป็นเหตุแม้ข้ออื่นก็เป็นเหตุ คือเมื่อคน ๆ
นี้ตายแล้ว คนทุกคนเห็นฉันเข้าผู้หมดที่พึ่ง ไม่มีปัจจัย แต่มีร่างกาย
เติบโตแล้ว คงจะต้องการฆ่าเราโดยเห็นว่า เนื้อของปูตัวนี้ทั้งอร่อยทั้ง
หนาทั้งนิ่ม ไม่ใช่แต่คนอย่างเดียวเท่านั้นจักต้องการ แม้กาทั้งหลายที่
เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เห็นฉันเข้าก็คงจะเบียดเบียน คือคงจะฆ่าให้ตาย.
งูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า เราจักลวงปูตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง
แล้วให้ปล่อยทั้งกาทั้งตนเองไป. ลำดับนั้น งูเมื่อจะลวงปูนั้น จึงกล่าว
คาถาที่ 6 ว่า :-
ถ้าหากข้าทั้ง 2 ถูกหนีบเพราะเหตุแห่ง
ชายคนนั้นไซร้ ข้าจะดูดพิษกลับ ชายคนนี้
ลุกขึ้นได้ แกจงปล่อยทั้งข้าทั้งกาโดยเร็ว ก่อน
ที่พิษร้ายแรงจะเข้าไปสู่ ชายคนนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเจ ตสฺส เหตุ ความว่า ถ้า
หากว่า เพราะเหตุแห่งชายคนนี้ไซร้. บทว่า อุฏฺฐาตุ ความว่า จง
เป็นผู้ปราศจากพิษ. บทว่า วิสมาวมามิ ความว่า ข้าจะถอนพิษของ
ชายคนนั้นออก จะทำให้เขาเป็นผู้ไม่มีพิษอีก. บทว่า ปุเร วิสํ คาฬฺ-
หมุเปติ มจฺจํ
ความว่า เพราะว่าพิษที่ข้ายังไม่ดูดกลับจะเป็นพิษที่มี
กำลังร้ายแรง พึงเข้าไปสู่ชายคนนี้ ตราบใดพิษนั้นยังไม่เข้าไป ตราบ

นั้นนั่นแหละ แกจงปล่อยข้าทั้ง 2 คนไป.
ปูได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า งูตัวนี้ต้องการจะใช้อุบายอย่างหนึ่ง
ให้เราปล่อยทั้ง 2 ตัวแล้วหนีไป มันไม่รู้ความฉลาดในอุบายของเรา.
บัดนี้เราจะทำก้ามของเราให้หย่อน คือลาก้ามลง พอให้งูจะสามารถเลื้อย
ไปได้ แต่เราจักไม่ปล่อยกาเลย ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถา
ที่ 7 ว่า :-
ข้าจะปล่อยงู แต่ยังไม่ปล่อยกาก่อน
เพราะกาจะเป็นตัวประกันไว้ก่อน ต่อเมื่อเห็น
ชายคนนี้ มีความสุขสบายปลอดภัยแล้ว ข้า
จึงจะปล่อยกาไปเหมือนปล่อยงู ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิพทฺธโก ได้แก่ เป็นตัวประกัน.
บทว่า ยเถว สปฺปํ ความว่า ข้าจะปล่อยงูตัวเจริญฉันใด แม้กาข้า
ก็จะปล่อยฉันนั้น แกจงดูดพิษออกจากร่างกายของพราหมณ์คนนี้อย่าง
นี้โดยเร็ว.
ก็แหละ ปูครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ได้ลาก้ามลงเพื่อให้งูนั้น
เลื้อยไปสะดวก. งูดูดพิษออกแล้ว ได้ทำร่างกายของพระมหาสัตว์ให้
หมดพิษ พระมหาสัตว์นั้นมีทุกข์ จึงลุกขึ้นยืนด้วยรูปพรรณปกตินั่น
เอง. ปูคิดว่า ถ้าหากสัตว์ทั้ง 2 ตัวนี้จักปลอดภัยไซร้ ขึ้นชื่อว่า ความ

เจริญ ก็จักไม่มีแก่สหายของเรา เราจักให้มันพินาศไป ดังนี้แล้วได้เอา
ก้ามหนีบศีรษะของสัตว์ทั้ง 2 ตัว เหมือนเอาไม้เท้ากดกลีบบัว แล้วให้
ถึงความสิ้นชีวิต. ฝ่ายกาตัวเมียก็ได้หนีไปจากที่นั้น. พระโพธิสัตว์
เอาร่างงูพันที่ท่อนไม้แล้วโยนไปหลังพุ่มไม้ ปล่อยปูสีทองที่หนองน้ำ
แล้ว ไปบ้านหลินทิยะนั่นเอง. จำเดิมแต่นั้นมา ความคุ้นเคยระหว่าง
พระโพธิสัตว์นั้นกับปูได้มียิ่งกว่าแต่ก่อน.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. จึงได้ตรัสคาถาสุดท้ายไว้ว่า :-
กาในครั้งนั้น ได้แต่พระเทวทัตในบัดนี้
ส่วนงูเห่าหม้อ ได้แก่ช้างนาฬาคิรี ปูได้แก่
พระอานนท์ผู้เจริญ เราตถาคตผู้เป็นศาสดา
ได้แก่พราหมณ์ ในครั้งนั้น.

ในเวลาจบสัจธรรม คนได้เป็นพระโสดาบันมากมาย. ส่วนกา
ตัวเมียไม่ได้ตรัสไว้ในพระคาถา. มันก็ได้แก่นางจิญจมานวิกา.
จบ อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ 4

5. มัยหกสกุณชาดก



ว่าด้วยการใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์



[931] นกชื่อมัยหกะ นกเขา บินไปที่ไหล่เขา
และซอกเขา เกาะต้นเลียบที่มีผลสุก ร้องว่า
ของกู ๆ.
[932] เมื่อมันร้องอยู่อย่างนี้ ฝูงนกที่นั้นมารวม
กัน พากันกินผลเลียบแล้วบินหนี มันก็ยังร้อง
อยู่นั่นเอง ฉันใด.
[933] บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือน
กัน รวบรวมทรัพย์ไว้มากมาย ตนเองก็ไม่ได้
ใช้สอยเลย ไม่มอบส่วนแบ่งแก่ญาติทั้งหลาย
ด้วย.
[934] เขาไม่ได้ใช้สอยผ้านุ่ง ผ้าห่ม ไม่รับ-
ประทานภัตตาหาร ไม่ทัดทรงดอกไม้ ไม่ลูบไล้
เครื่องลูบไล้ ไม่ใช้อะไรสักครั้งเดียว และ
ไม่สงเคราะห์ญาติทั้งหลาย.